“ระบบการศึกษาที่พลาด ทำไมเด็กไทยขาดความเข้าใจในสิ่งที่เรียน”


ทำไมเด็กไทยเป็นได้แค่นักอ่าน-นักท่องจำ แต่ไม่เข้าใจความหมายเรื่องที่เรียน

เคยสงสัยหรือไม่ว่า ทำไมระบบการศึกษาไทยถึงผลิตผู้เรียนที่สามารถท่องจำเนื้อหาได้เก่ง แต่เมื่อถามถึงการนำความรู้ไปใช้ กลับพบว่ายังขาดความเข้าใจที่ลึกซึ้ง? นี่คือปัญหาที่สะสมมานานในระบบการศึกษาไทย ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องของเด็ก แต่ยังเกี่ยวพันกับโครงสร้างของการเรียนการสอนที่วางรากฐานมานานหลายสิบปี

ปัญหาหลักที่เกี่ยวข้อง

  1. ระบบการเรียนการสอนแบบ Content-based Curriculum
    • ก่อนปี 2550 ระบบการศึกษาไทยเน้นการถ่ายทอดเนื้อหาในปริมาณมาก โดยมุ่งให้ผู้เรียนจำเนื้อหาเพื่อตอบคำถามได้ในแบบทดสอบ
    • การเรียนรู้ในลักษณะนี้จัดอยู่ในกลุ่ม Passive Learning คือผู้เรียนเพียงรับฟังและจดจำ โดยไม่มีการฝึกคิดวิเคราะห์หรือการนำไปประยุกต์ใช้
  2. การจัดการเรียนการสอนที่ยึดครูเป็นศูนย์กลาง
    • บทบาทของครูในอดีตมักเน้นการบอกความรู้ ทำให้ผู้เรียนพึ่งพาครูมากกว่าการเรียนรู้ด้วยตนเอง
    • การประเมินผลเน้นไปที่ “ความจำ” ของผู้เรียน มากกว่าการวัดความเข้าใจในเชิงลึก
  3. วัฒนธรรมการศึกษาแบบแข่งขันและกดดัน
    • การสอบเข้ามหาวิทยาลัยหรือการวัดผลต่าง ๆ มุ่งเน้นที่คะแนนสูงสุด ทำให้ผู้เรียนจดจำเพื่อ “ผ่านเกณฑ์” มากกว่าที่จะตั้งคำถามหรือเชื่อมโยงความรู้สู่ชีวิตจริง

พฤติกรรมสะท้อนจากปัญหาในปัจจุบัน

  • ผู้เรียนมักขาดทักษะการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหา
  • การเรียนรู้ถูกมองว่าเป็น “หน้าที่” ไม่ใช่โอกาสในการพัฒนาตัวเอง
  • เด็กเรียนเพียงเพื่อจดจำและสอบให้ผ่าน แต่เมื่อถามถึงการนำความรู้ไปใช้ในชีวิตจริง กลับพบว่ามีข้อจำกัดอย่างมาก

แนวทางการแก้ปัญหา

  1. เปลี่ยนวิธีการเรียนรู้เป็น Active Learning
    • สนับสนุนให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการ เช่น การอภิปราย การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริง หรือการทดลอง
    • ใช้การประเมินผลแบบใหม่ที่วัดทักษะการคิดและการลงมือทำ เช่น Rubrics หรือ Project-based Learning
  2. ปรับหลักสูตรเป็นแบบ Standard-based Curriculum
    • หลักสูตรหลังปี 2550 เริ่มมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะสำหรับศตวรรษที่ 21 เช่น การคิดเชิงสร้างสรรค์ การทำงานร่วมกัน และการสื่อสาร
  3. พัฒนาครูให้มีบทบาทเป็นผู้สนับสนุน 
    • ครูต้องเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้บอก” เป็น “ผู้สนับสนุน” โดยช่วยชี้แนะแนวทางให้ผู้เรียนค้นพบความรู้ด้วยตนเอง

เด็กไทยในอดีตถูกหล่อหลอมให้เป็น “นักอ่าน-นักท่องจำ” เพราะระบบการศึกษาที่เน้นการถ่ายทอดเนื้อหาและการวัดผลแบบตายตัว ขาดการฝึกคิดวิเคราะห์และเชื่อมโยงความรู้สู่ชีวิตจริง อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนระบบสู่การเรียนรู้แบบ Active Learning อาจช่วยเปลี่ยนแปลงผู้เรียนให้เข้าใจเนื้อหาที่เรียนและสามารถนำไปต่อยอดในชีวิตจริงได้อย่างแท้จริง

นี่คือจุดเปลี่ยนที่เราทุกคนควรใส่ใจ เพื่อให้การศึกษากลายเป็น “เครื่องมือสร้างชีวิต” ไม่ใช่เพียง “บททดสอบที่ต้องผ่าน”.

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *