สรุป 5 influencer ด้านการศึกษา กา พรรคไหน

เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ.2566 ที่เพจ สุจริตไทย และเพจ Wiriyah Eduzones ได้มีการไลฟ์พูดคุยเกี่ยวกับหัวข้อ “5 influencer ด้านการศึกษา กา พรรคไหน” โดยมีผู้ร่วมพูดคุยเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์ทางการศึกษาจากเพจต่าง ๆ ได้แก่

1.อ.วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์ จาก เพจ Wiriyah Eduzones

2.ครูทิว จาก เพจ ครูขอสอน

3.ครูกั๊ก จาก เพจ Inskru

4.ครูโปเต้ ธนา เอี่ยมบำรุงทรัพย์

5.ครูมิกกี้ จิตปภา สุพันธะ

โดยมีผู้ดำเนินรายการ คือ คุณนุช สุจริตไทย

โดยสรุปได้ดังนี้

  • ภาพรวมนโยบายแต่ละพรรคชอบพรรคไหน

นโยบาย เพิ่มเรียนฟรี

อ.วิริยะ ไม่เห็นด้วยกับนโยบายที่ว่า การเพิ่มเรียนฟรี และให้เหตุผลอธิบายว่า ในเมื่อก่อนคนเรามีการเรียนฟรีถึงเพียงแค่ ป.7 แต่จบไปก็สามารถเป็นคนมีคุณภาพได้ แล้วงบประมาณเรามีมากพอที่จะจัดให้การศึกษามีคุณภาพได้แค่ไหน นโยบายการเพิ่มเรียนฟรีเป็นเพียงการหาเสียง แต่ไม่ได้ช่วยพัฒนาการศึกษาเลย ซึ่งต่อให้มีการเพิ่มเรียนฟรีไปตลอดชีวิต แต่ยังเพิ่มภาระที่นอกเหนือจากการสอนให้ครูจนล้นมือ การศึกษาก็ไม่มีคุณภาพ ถ้าหากจะให้เด็กเข้าถึงการศึกษาอย่างทั่วถึงควรเอางบประมาณไปซื้ออินเทอร์เน็ตฟรีให้ครูและนักเรียนได้ใช้ในการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพดีกว่า ถ้าเป็นนโยบายการศึกษาที่ยั่งยืนนั้นต้องให้ Basic Education หรือพัฒนาคนที่อายุน้อย ๆ ให้เมื่ออายุ 15 ปีนั้นเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์และพัฒนา

ครูโปเต้ ได้แสดงความคิดเห็นว่า การเรียนฟรี เป็นที่เรื่องที่สำคัญอันดับแรกสำหรับการเข้าสู่ระบบการศึกษา ซึ่งการเรียนฟรีให้มีคุณภาพนั้นมีเขียนจริงในกฎหมาย แต่ในทางปฏิบัตินั้นไม่จริง ฉะนั้นเราต้องทำอย่างไรให้การเรียนฟรีและมีคุณภาพนั้นเกิดขึ้นจริง เชื่อว่ารัฐทำสวัสดิการในเรื่องนี้ได้

ครูทิว กล่าวว่า เราสามารถมองได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับว่าเราให้คุณค่ากับอะไร เรามองว่าการศึกษานั้นคืออะไร มองว่าเป็นสิทธิ์ที่ทุกคนควรจะได้รับ หรือ มองว่าการศึกษา เป็นสินค้าอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นตนเห็นด้วยกับความคิดเห็นของครูโปเต้ในเรื่องที่ว่า การศึกษานั้นควรจะเป็นสวัสดิการขั้นพื้นฐานที่ฟรีและมีคุณภาพ แต่ทำไมที่ผ่านมาถึงไม่มีคุณภาพ แล้วจะให้เรียนฟรีนี่ฟรีถึงแค่ไหน และเอาเงินจากไหน หลายพรรคนั้นออกนโยบายว่าเรียนฟรีถึงปริญญาตรี ซึ่งจำเป็นต้องใช้งบประมาณมากพอสมควร โดยพรรคที่ครูทิวได้ยกตัวอย่างว่าแจกแจงรายละเอียดของนโยบายได้ดี คือ พรรคก้าวไกล กับงบประมาณ 650,000 ล้านบาท ทำได้จริง โดยเอาแหล่งรายได้จากการลดขนาดกองทัพ ลดงบกลาง ลดโครงการไม่จำเป็น เงินปันผลรัฐวิสาหกิจ ภาษีความมั่งคั่ง ทรัพย์สินเกิน 300 ล้าน ภาษีที่ดินรายแปลง ภาษีนิติบุคคล ปฏิรูปสิทธิประโยชน์ BOI เพิ่มประสิทธิภาพจัดเก็บภาษี และหวยบนดิน จะได้งบประมาณจากส่วนนี้มาทำสวัสดิการ โดยมีทุกช่วงวัย ในช่วงโตจะมีสวัสดิการการเรียนฟรี อาหารฟรี รถรับส่งฟรี ซึ่งดูจากงบประมาณสามารถทำได้จริง

ครูกั๊ก มีความคิดเห็นว่า การเรียนฟรี เป็นสวัสดิการที่ต้องถามว่ารัฐมองว่าทำเพื่อใคร จะเรียนฟรีถึงระดับไหนก็ดูที่งบประมาณ โดยส่วนตัวชื่นชอบในเรื่องของการ เรียนฟรีตลอดชีวิต ซึ่งไม่ได้หมายความว่าต้องเรียนอยู่ในระบบไปตลอด เราสามารถเรียนนอกระบบจากแหล่งเรียนรู้อื่นเองได้ ซึ่งรัฐสามารถส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตตรงนี้ได้ ถ้าเรามองการเรียนฟรีออกมาจากนอกระบบอย่างในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย ก็อาจสร้างอาชีพ สร้างทักษะ และสร้างความรู้ได้เช่นกัน ซึ่งถ้าหลาย ๆ พรรคอธิบายว่ามีวิธีการทำอย่างไรน่าจะเห็นภาพชัดขึ้น ผู้คนจะได้ไม่เกิดความสงสัยเรื่องนโยบายและงบประมาณว่าใช้อย่างไร ซึ่งครูกั๊กได้กล่าวเสริมอีกว่า โรงรียนกว่า 40,000 โรงเรียนได้งบประมาณในการจัดโครงการหลาย ๆ โครงการที่ทับซ้อนและไม่ได้มีความจำเป็นมากนัก อาจนำงบประมาณจากส่วนนี้มาพัฒนาการศึกษาที่ดีได้ ซึ่งปัญหาอาจจะไม่ได้อยู่ที่ไม่มีงบประมาณ แต่อยู่ที่การบริหารจัดการงบประมาณ

ครูมิกกี้ มีความเห็นว่า การเรียนฟรี เจตนาของแต่ละพรรคนั้นดีอยู่แล้ว แต่ถ้ามองตามความเป็นจริงนั้น ฟรีไม่จริง ซึ่งแม้เด็กไม่ต้องจ่ายค่าเทอม แต่จะมีค่าอย่างอื่นเข้ามาแทน เช่น ค่าชุดกิจกรรม อุปกรณ์การเรียน ค่าอาหารกลางวัน และค่าอะไรหลายอย่าง โดยส่วนตัวคิดว่าในประเทศไทยไม่ใช่ทุกคนจะยากจน คนที่ยังมีเงินจ่ายก็จ่าย ส่วนคนที่ไม่มีเงินนั้นต้องให้โอกาสให้ทุน เอาคนรวยมาพัฒนาคนจน ซึ่งจะเป็นจริงได้แค่ไหน ยังศึกษานโยบายของแต่ละพรรคอยู่ว่าลงรายละเอียดได้ลึกขนาดไหน ส่วนตัวคิดว่าประเด็นที่อยากได้คือ การเอาเงินไปจ้างให้ครูไม่ต้องทำงานอื่นที่นอกเหนือจากการสอน ซึ่งปัจจุบันมีการมอบงานให้ครูทำจนล้นมือ ต่อให้เรียนฟรีหรือไม่ฟรี แต่ยังไม่แก้ปัญหาในส่วนนี้ การศึกษาก็ยังคงเหมือนเดิม

 

  • พรรคที่แต่ละคนชื่นชอบในนโยบายด้านการศึกษาที่มีคุณภาพ

ครูกั๊ก ชอบนโยบายอยู่ 3 พรรค คือ พรรคก้าวไกล พรรคสามัญชน และพรรคเพื่อชาติ โดยทั้ง 3 พรรคทำนโยบายด้านการศึกษาได้ชัดเจน ซึ่งก้าวไกลละเอียดที่สุด เหตุผลที่ชอบทั้ง 3 พรรคนี้เนื่องจากพูดถึงพื้นที่ปลอดภัยทางกายและทางใจของเด็กและครู อย่างพรรคก้าวไกลนั้นพูดถึง ส้วมสะอาด อาคารที่ปลอดภัย ซึมเศร้ามีที่ปรึกษา ซึ่งสุขภาพทางกายและทางจิตนั้นสำคัญมาก พรรคสามัญชนนั้นพูดถึงเรื่องการเพิ่มผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา โภชนาการ และคุ้มครองเด็ก และพรรคเพื่อชาติ พูดถึงโรงเรียนปลอดภัย ลดระบบแพ้คัดออก และให้ทุกคนเติบโตได้ในแบบของตนเอง

ครูโปเต้ ชอบนโยบายอยู่ 2 พรรค แต่ไม่ได้มองแค่นโยบายการศึกษาเพียงอย่างเดียว แต่มองถึงคุณภาพชีวิตด้วย โดยพรรคแรกจะเด่นเรื่องการจัดกระทำ ปรับปรุง รื้อถอนโครงสร้างในระบบการศึกษาใหม่ และเอาจริงเอาจังในเรื่องของการวางระบบโครงสร้างให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ปลดแอกอำนาจนิยม แก้พรบ.ทางการศึกษา แก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ตรงนี้อาจจะช่วยตอบโจทย์ให้ครูได้มีอิสรภาพในการจัดการเรียนการสอนมากขึ้น เนื่องจากมีการลดภาระต่าง ๆ ที่ครูไม่จำเป็นต้องทำ และตนยังมองว่าการศึกษาไม่ได้อยู่แค่ในโรงเรียน สามารถอยู่นอกโรงเรียนได้ เป็นไปตามอัธยาศัยได้ เป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิตได้ และการแจกอุปกรณ์การเรียนนั้นจำเป็นมาก แต่ก็ต้องมองว่าจะสามารถเอื้ออำนวยให้นักเรียน ครู และคนในชุมชนสามารถเรียนรู้ได้อย่างไร โดยอยากเลือกพรรคที่มองนิเวศน์ทางการเรียนรู้ทั้งในโรงเรียน นอกโรงเรียน ในชุมชน ออกมาให้เห็นชัด ๆ ว่าจะมีที่ไหนสามารถเข้าไปเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพได้บ้าง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเขาได้จริง

ครูทิว ชอบนโยบายของ พรรคก้าวไกล เนื่องจากก้าวไกลให้ความสำคัญกับนโยบายทางด้านสังคมค่อนข้างสูง โดยเชื่อว่าการแก้ไขปัญหาการศึกษานั้นไม่ใช่แค่จะมาพูดถึงแค่ การศึกษา แต่คือการเห็นการเมืองกับระบบเศรษฐกิจนั้นพังมากับระบบการศึกษาด้วย หากการเมืองดีแล้วกระจายอำนาจสู่โครงสร้างอื่นมาเรื่อย ๆ จนถึงการศึกษา การศึกษาก็จะดีและมีประสิทธิภาพตามมาด้วย ซึ่งโครงสร้างหลายอย่างนั้นเชื่อมโยงกัน

อ.วิริยะ อยากเห็นพรรคที่เข้าใจและทำการศึกษาที่มีคุณภาพจริง ๆ ให้โอกาสเด็กทุกคนในประเทศนี้ให้เข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ โดยที่ผ่านมางบประมาณที่ใช้ในกระทรวงศึกษาธิการนั้นไม่เพียงพอให้นำมาพัฒนาการศึกษาให้มีคุณภาพได้ สิ่งที่อยากเห็นคือพรรคการเมืองเอาตัวเลขงบประมาณมาคุยกันจริงจังว่าเราจะต้องทำการศึกษาที่มีคุณภาพ และยังคงไม่เห็นด้วยกับการแจกถ้วนหน้า เพราะจะทำให้งบประมาณไม่เพียงพอ นอกจากว่าไปตัดงบประมาณจากกระทรวงอื่นแทน โดยชื่นชอบตัวเลขที่ว่า 650,000 ล้านบาท ถ้านำตรงนี้มาให้กระทรวงศึกษาได้นั้น น่าสนใจ ถ้าหากสามารถตัดงบประมาณจากกระทรวงอื่นมาได้นั้น คนที่จะเป็นนายกจะต้องกล้าหาญ จริงจัง และไม่กลัวแรงกดดัน แต่ว่าชอบนโยบายของอดีตพรรคเพื่อไทย ในเรื่อง กรอ. ที่ให้เด็กกู้เรียนในระดับอุดมศึกษา เรียนจบแล้วหักจากเงินเดือน แต่ถ้าหากไม่มีงานทำก็ไม่ต้องใช้คืน ต่างจาก กยศ. ซึ่งนโยบายแบบนี้น่านำมาใช้มาก แล้วถ้าถามว่าตอนนี้ชอบนโยบายพรรคอะไร พรรคก้าวไกลเป็นพรรคที่นโยบายค่อนข้างชัดเจน เห็นเป็นรูปธรรม

ครูมิกกี้ ยังเลือกพรรคไม่ได้ แต่มีนโยบายที่ชื่นชอบจากหลาย ๆ พรรค เช่น พรรคเพื่อไทย ที่จะจัดการเรื่องพรบ.การศึกษาฉบับใหม่ออกมาให้เป็นกฎหมาย ให้ไม่สามารถเอาครูไปใช้งานอื่นที่นอกเหนือจากการสอน ซึ่งปัจจุบันมีการให้งานครูเยอะเกินไปจนไม่มีเวลาสอนอย่างเต็มที่ หากพรรคไหนได้เป็นรัฐบาลควรแก้ปัญหานี้ก่อน เพราะต่อให้มีนโยบายการศึกษาที่สวยหรู แจกอะไรต่าง ๆ แต่ครูกลับไม่ได้สอนเลย ยังไงการศึกษาก็ไม่มีคุณภาพ ซึ่งถ้าหากพรรคไหนมีนโยบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตนเลือกแน่นอน

  • กล่าวสรุป

ครูกั๊ก ไม่เห็นด้วยกับเรื่องการแก้โครงสร้างหนี้บ่อย ๆ ให้กับครู ถ้าทำบ่อย ๆ อาจจะทำให้ติดนิสัยเป็นหนี้ ถ้าจะทำจริง ๆ อยากให้เติมความรู้ทางการเงินให้กับครูด้วย และอยากให้แยกคำว่า ข้าราชการ กับ ครู ออกจากกัน

ครูทิว พูดถึงเรื่องระบบการประเมิน ควรจะเป็น 360 องศา ให้มีส่วนจากข้างล่าง ประเมินข้างบน ผอ.จะได้ลงมาช่วยครู ครูจะได้อยู่กับนักเรียน และอีกเรื่องคือหลายครั้งที่มีนโยบายด้านการศึกษาออกมา เรามักจะตั้งคำถามว่าทำได้จริงหรือ แล้วไม่อยากเลือกเพราะกลัวว่าจะทำตามนโยบายไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นจะเลือกพรรคที่ไม่ได้เสนอนโยบายให้มาทำงานอย่างนั้นหรือ หากเขาทำตามนโยบายไม่ได้ เราเป็นประชาชน เราสามารถดูและตัดสินใจเองได้ ครั้งต่อไปก็ลองเลือกให้คนใหม่ได้มีโอกาสมาทำใหม่ ดีกว่าเคยอยู่แบบเดิมแล้วไม่ดี แต่ก็เลือกแบบเดิมเพราะเคยชิน

อ.วิริยะ กล่าวว่า ที่ครูทิวอยากให้มีการประเมินแบบนักเรียนประเมินครู ครูประเมินผอ. ก็จะช่วยฟีดแบกได้ แต่ในอีกมุมมองคือต้องเปิดใจรับฟังกัน หากมีการปรับเปลี่ยนแบบนี้เหมือนเป็นการทำลายล้างวัฒนธรรมเดิมที่เคยมีมา ซึ่งดีหรือไม่ก็ไม่อาจทราบได้ แต่เป็นสิ่งที่ทำกันมานานแล้ว ถ้าให้มีการประเมินจากข้างล่างขึ้นข้างบน อาจจะทำให้มีการใช้ระบบอำนาจในการโน้มน้าวให้ข้างล่างทำตามที่ข้างบนต้องการได้ ซึ่งเกิดจากการไม่เชื่อใจกัน แต่การที่มีการเรียกร้องแบบนี้นั้นดีแล้ว ให้เรียกร้องและเป็นกระบอกเสียงต่อไป จนถึงวันที่มีการเปลี่ยนแปลง

ครูโปเต้ กล่าวว่า อยากเห็นสังคมงอกงาม อยากเห็นการศึกษาที่ทุกคนเป็นเจ้าของ ไม่อยากเห็นแค่ใครคนใดคนหนึ่งมารับผิดชอบเรื่องการศึกษา และอีกเรื่องคืออยากให้ครูได้เงินเดือนเพิ่ม เนื่องจากเป็นอาชีพที่ใช้ทักษะความสามารถสูงในการหล่อหลอมและบ่มเพาะให้เด็กได้เติบโตมาอย่างมีคุณภาพ

ครูมิกกี้ สรุปประเด็นเรื่องที่อยากให้ครูไม่ต้องไปทำงานอื่นที่นอกเหนือจากการสอน แม้ว่านโยบายการศึกษาจะดีขนาดไหน แจกอะไรมากมาย แต่ถ้าครูยังไม่มีเวลาสอน ไม่ได้ทำหน้าที่ของครู เพราะมัวแต่ไปทำงานอื่นที่ไม่ใช่งานสอน การศึกษาก็ไม่มีทางคุณภาพได้ เพราะฉะนั้นควรแก้ไขเรื่องนี้ให้มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น

 

ท้ายที่สุดแล้ว ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวจากบุคลากรทางการศึกษาที่เป็นอินฟลูเอ็นเซอร์เพียงเท่านั้น ทุกคนอยากเห็นการศึกษาพัฒนาอย่างแท้จริง ซึ่งไม่ว่าพรรคไหนจะได้เป็นรัฐบาล อยากให้มีการจัดการด้านการศึกษาให้พัฒนาและมีคุณภาพ อนาคตประเทศชาติขึ้นอยู่ในมือผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทุกคน อย่าลืมไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง 14 พ.ค. 2566 นี้ ชอบนโยบายพรรคไหน กาพรรคนั้น และเลือกสิ่งที่ดีมาพัฒนาประเทศชาติ

ดูไลฟ์ย้อนหลังได้ที่ : คลิก

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *