เรียนที่ไหนก็เหมือนกัน จริงหรือ ? เเบบสรุปผลสำรวจความคิดเห็นจาก ชุมชน Eduzones

“เรียนที่ไหนก็เหมือนกัน  อยู่ที่ตัวบุคคลมากกว่า”

น้อง ๆ เห็นด้วยกับคำพูดนี้หรือไม่  เเน่นอนว่าสังคมสมัยนี้ปลูกฝังค่านิยมว่าเด็กที่ได้ศึกษาจากสถาบันดี ๆ มีชื่อเสียงจะได้รับการยอมรับจากสังคมมากกว่าเด็กที่เรียนสถาบันทั่วไป  จึงเป็นสาเหตุให้เด็กต้องการที่จะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเหล่านั้นเพื่อหวังว่าจะได้รับการยอมรับจากสังคม

เเต่ด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่างทำให้เด็กบางคนไม่สามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยดี ๆ เหล่านั้นได้ เช่น สอบไม่ติด ค่าเทอมสูง เป็นต้น เด็กเหล่านี้ก็จะต้องไปเรียนที่มหาลัยทั่วไปซึ่งไม่ได้รับการยอมรับเท่าที่ควร จึงทำให้เกิดคำพูดว่า “เรียนที่ไหนก็เหมือนกัน อยู่ที่ตัวบุคคลมากกว่า” ซึ่งเป็นคำพูดที่ใช้ปลอบใจหรือเปล่า ? อย่างไรก็ตามชื่อสถาบันก็เป็นเพียงฉลาก ต้องเเกะห่อใช้งานจริงเสียก่อน จึงจะรู้ว่า คำว่า “เรียนที่ไหนก็เหมือนกัน” จะเป็นจริงอย่างที่กล่าวกันมาหรือไม่

ถ้าเรียนที่ไหนก็เหมือนกัน ทำไมต้องจัดลำดับมหาวิทยาลัยทุกปี ?

น้อง ๆ ม.ปลายที่จบใหม่ก็จะมีการเตรียมตัวเพื่อสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยซึ่งลำดับเเรกก็ต้องค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ กันก่อนอยู่เเล้วเเละเเน่นอนว่ามหาวิทยาลัยที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดก็จะสามารถดึงดูดน้อง ๆ ให้อยากเข้ามาเรียนได้มากเช่นกัน

อย่างที่เกริ่นไปว่า  “เรียนที่ไหนก็เหมือนกัน” คงจะไม่เป็นความจริงซะเเล้วเพราะถ้าเรียนที่ไหนก็เหมือนกันก็คงไม่มีการจัดลำดับมหาวิทยาลัยเเต่ละปีเพื่อให้เกิดความเเตกต่างเเละการเปรียบเทียบกัน  โดยปี 2022 มีการจัด TOP 10 มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในไทย ดังนี้

เเต่ก็มีบางคนที่เชื่อว่าเรียนที่ไหนก็เหมือนกันเพราะด้วยโอกาสเเละความสะดวกที่เเต่ละคนมีไม่เหมือนกันจึงเป็นข้อจำกัดในการเลือกเรียนมหาวิทยาลัย เช่น เด็กที่มีความจำเป็นต้องดูเเลผู้ปกครองก็ต้องเลือกเรียนมหาวิทยาลัยใกล้บ้านเพื่อความสะดวกในการใช้ชีวิตโดยส่วนใหญ่มักพบกับเด็กต่างจังหวัดเเละอีกสาเหตุหนึ่งคือกลุ่มที่สู้กับค่าเทอมของมหาวิทยาลัยไม่ไหวจึงเลือกเรียนมหาวิทยาลัยที่พอจะจ่ายค่าเทอมไหวเท่านั้น เเสดงให้เห็นว่า “โอกาส” ก็เป็นสิ่งสำคัญในการเลือกใช้ชีวิต

โดยพี่มิวได้เลือกผลการสำรวจจากเฟซบุ๊กเเฟนเพจ Eduzones โดยมีผู้มาร่วมเเสดงความคิดเห็นถึงประเด็นการเลือกสถาบัน “เรียนที่ไหนก็เหมือนกัน” เป็นจำนวนมาก เเบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

ตัวอย่าง ความคิดเห็นที่เห็นด้วยกับคำว่า “เรียนที่ไหนก็เหมือนกัน” 

ตัวอย่างที่ 1

ตัวอย่างที่ 2

ตัวอย่างที่ 3

ตัวอย่างที่ 4

คนเก่งอยู่ที่ไหนก็เป็นคนเก่ง”  เป็นคำที่ผู้เเสดงความคิดเห็นส่วนใหญ่ต้องการจะสื่อออกมาโดยเล่าผ่านประสบการณ์ที่ได้พบเจอว่าเด็กที่ไม่ได้เรียนในกลุ่มสถาบันที่เป็นค่านิยมก็สามารถประสบความสำเร็จอย่างมีคุณภาพได้ไม่เเพ้เด็กที่เรียนในสถาบันดี ๆ เลย จึงเป็นการบ่งบอกว่าผู้เรียนเป็นปัจจัยสำคัญมากกว่าชื่อเสียงของสถาบัน อีกทั้งมีผู้เเสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ “โอกาส” เเละ “ความพร้อม” ในการเลือกสถาบันเพราะปัจจุบันมีเทคโนโลยีเข้ามาอำนวยความสะดวกทำให้เด็กทั่วไปสามารถเรียนรู้หลักสูตรของสถาบันดี ๆ ได้เช่นกัน  ดังนั้น ชื่อสถาบันก็ไม่ได้มีผลต่อการเรียนรู้ของเด็กอีกต่อไป

อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ คือ “เรียนที่ไหน ก็ได้เรียนเหมือน ความเหมือนคือได้เรียน ความไม่เหมือนคือได้อะไร” เป็นการตั้งคำถามชวนคิดว่าเรียนที่ไหนก็เหมือนกันเเต่ความต่าง คือ ผู้เรียนได้อะไร ซึ่งเเต่ละคนก็ได้รับความรู้ที่เเตกต่างกันอยู่เเล้ว จึงเป็นความคิดเห็นที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมากกว่าชื่อเสียงของสถาบัน

ตัวอย่าง ความคิดเห็นที่ไม่เห็นด้วยกับคำว่า “เรียนที่ไหนก็เหมือนกัน” 

ตัวอย่างที่ 1

ตัวอย่างที่ 2

ตัวอย่างที่ 3

“โอกาสเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนสถาบัน” จากตัวอย่างผู้เเสดงความคิดเห็นให้เหตุผลว่า  “โอกาส” ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่ว่าจะเป็นโอกาสของผู้เรียนเองหรือโอกาสของสถาบัน  สิ่งเหล่านี้ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เเต่ละสถาบันมีความเเตกต่างกัน  ปัจจัยนี้บ่งบอกถึงความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา  เพราะหากสถาบันเเรกไม่มีอุปกรณ์ในการเรียนการสอนมากพอก็ไม่สามารถทำให้เด็กเรียนรู้ได้อย่างเเท้จริงโดยเฉพาะเด็กต่างจังหวัดเหตุเกิดจากการไม่ได้ลงมือทดลองปฏิบัติจริงซึ่งถ้านำมาเปรียบเทียบกับเด็กในเมืองที่ได้ใช้อุปกรณ์การทดลองบ่อย ๆ เเล้วก็อาจจะไม่สามารถสู้ได้

ซึ่งความจริงเเล้วการศึกษาทุกสถาบันควรมีมาตรฐานเเละมีเเรงสนับสนุนให้ผู้เรียนมีประสิทธิภาพที่เท่าเทียมกัน  หากคิดไปถึงอนาคตมักจะเห็นว่าบางบริษัทก็รับเฉพาะเด็กที่จบมากจากที่นั่นที่นี่ โดยจะมีไม่กี่สถาบัน  เเล้วเด็กที่จบมาจากสถาบันที่นอกเหนือจากนั้นล่ะจะรับเข้าทำงานไหม  รู้อย่างนี้เเล้วยังจะพูดได้ว่า “เรียนที่ไหนก็เหมือนกัน” ได้อยู่หรือเปล่า ?

ตัวอย่าง ความคิดเห็นที่เป็นกลางเกี่ยวกับคำว่า “เรียนที่ไหนก็เหมือนกัน” 

“ความสำเร็จเกิดจากความพยายามของตนเอง” อย่างที่กล่าวกันมาว่า เรียนที่ไหนก็เหมือนกันหรือไม่เหมือนกันนั้นก็เป็นการเเสดงความคิดเห็นของคนสองกลุ่มโดยเขาจะบอกเหตุผลไปต่าง ๆ นานา ซึ่งก็ไม่ผิดเลย เเต่ก็ยังมีกลุ่มคนที่ไม่ได้สนใจชื่อเสียงสถาบันเป็นหลักไม่ว่าที่ไหนก็สามารถเรียนได้เเต่จะเน้นไปทางการปลูกฝังจากตัวเด็กเองโดยเริ่มจากให้เห็นคุณค่าเเละความสามารถของตนเอง  มี mindset ที่ดี ไม่เปรียบเทียบซึ่งกันเเละกันเพราะเเต่ละสถาบันก็มีสิ่งที่โดดเด่นเเตกต่างกัน ไม่มีอะไรเลอค่าหรือสูงไปกว่าความพยายามของตัวเอง  หากเรารู้ว่าตัวเองเก่งหรือถนัดอะไรก็พยายามไปอยู่ในสังคมเหล่านั้น  สังคมก็จะช่วยสนับสนุนเเละส่งเสริมความสามารถของเราให้ดีขึ้นได้เช่นกันโดยไม่ยึดติดว่าจะเป็นสถาบันไหน  ดังคำพูดที่ว่า “อยู่ให้ถูกที่เเล้วจะมีค่าเอง “เเละในวันข้างหน้าจะกลับกลายเป็นผู้เลือกมากกว่าผู้ถูกเลือก ความคิดเห็นนี้สามารถเป็นกำลังใจให้เด็กที่ไม่ได้เรียนสถาบันดัง ๆ ให้ลุกขึ้นมาพัฒนาตัวเองทั้งความคิดเเละความสามารถให้เป็นคนที่มีคุณค่าเเละเป็นคนที่สังคมต้องการมากขึ้นไม่ว่าจะจบสถาบันไหนก็ตาม

ปัจจุบันประเด็น “เรียนที่ไหนก็เหมือนกัน”  เป็นข้อถกเถียงของคนในสังคมเป็นจำนวนมาก ด้วยค่านิยมต่าง ๆ ที่สั่งสมกันมาทำให้มีผลต่อความคิดของคนรุ่นหลัง เด็ก ๆ ส่วนใหญ่จึงปฏิบัติตามค่านิยมเหล่านั้นด้วยการเลือกเรียนสถาบันดี ๆ เพื่อหวังว่าจะเป็นที่ยอมรับของคนในสังคมโดยไม่ได้ตระหนักถึงความเหมาะสมของความสามารถของตนเองเป็นหลัก  ส่วนเด็กที่ตั้งใจจะเลือกเรียนสถาบันดี ๆ โดยตระหนักถึงความสามารถที่เหมาะสมกันนั้นก็เป็นสิ่งที่ดีเพราะทางสถาบันเเละตัวเด็กเองจะได้ช่วยกันสนับสนุนเเละผลักดันส่งเสริมให้ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว เหมือนคำกล่าวของ บารัค โอบามา “ถ้าคุณเดินถูกทาง คุณจะอยากเดินต่อไปเรื่อย ๆ และในที่สุด คุณก็จะก้าวหน้า” 

เเล้วน้อง ๆ ล่ะคิดเห็นอย่างไรกับคำว่า “เรียนที่ไหนก็เหมือนกัน” กันบ้างพี่มิวเชื่อว่าอาจจะมีทั้งคนที่เห็นด้วยเเละไม่เห็นด้วยโดยจะมีเหตุผลของตัวเองคอยซัพพอร์ตความคิดเหล่านั้น เเต่ไม่ว่าน้อง ๆ จะเลือกเรียนสถาบันไหนก็ควรภูมิใจในสถาบันตนเอง ไม่นำสถาบันอื่นมาเปรียบเทียบให้ตัวเองดูด้อยค่าหรือดูสูงส่งไปกว่าคนอื่น ๆ เพราะอย่าลืมว่าอนาคตของเราจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับสิ่งที่เรากำลังทำในปัจจุบันนั่นก็คือ การตั้งใจเรียน ใช้ความสามารถให้โดดเด่นเเละมีความรับผิดชอบ  มากกว่าชื่อสถาบันที่เป็นเพียงฉลากบ่อบอกยี่ห้อ พี่มิวเชื่อว่าหากน้อง ๆ มีคุณสมบัติเหล่านี้ในอนาคตก็จะมีเเต่ความเจริญก้าวหน้าเเน่นอน  เเละเมื่อถึงวันนั้น  วันที่ต้องสมัครเข้าทำงาน  เขาจะเลือกดูความสามารถของน้อง ๆ เป็นลำดับเเรกโดยไม่ได้คำนึงถึงชื่อสถาบันที่จบมาเลย  เเล้วน้อง ๆ จะรู้สึกภูมิใจในตนเองมาก ๆ

หากน้อง ๆ คนใดมีประสบการณ์ในการเรียนมหาวิทยาลัยเเละสนใจจะร่วมเเสดงความคิดเห็นเพื่อเเชร์ประสบการณ์ให้คนที่กำลังตัดสินใจเลือกมหาวิทยาลัยอยู่ก็สามารถร่วมเเสดงความคิดเห็นได้ที่ เพจ Eduzones 

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *