ทำการตลาดอินฟลูเอนเซอร์อย่างไรให้เห็นผล “Kollective” นวัตกรรมตอบโจทย์ธุรกิจ โดยสตาร์ทอัพ จุฬาฯ

ทีมนิสิตเก่าจุฬาฯ ร่วมกับ CU Innovation Hub ผุดไอเดียสตาร์ทอัพ Kollectiveเครื่องมือและบริการทำการตลาดอินฟลูเอนเซอร์แบบครบวงจร โดยใช้ Big data วิเคราะห์ข้อมูล เลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่ใช่ วัดผลได้ เพิ่มยอดขายให้ธุรกิจ

ในยุคที่ใครๆ ก็ค้นหาข้อมูลได้จากอินเทอร์เน็ต ข้อมูลของสินค้าและบริการที่สร้างขึ้นโดยแบรนด์อาจไม่ตอบโจทย์ผู้บริโภค เพราะปัจจุบันผู้บริโภคเลือกที่จะค้นหาข้อมูลการรีวิวสินค้าจากผู้ใช้จริงมากกว่า จึงทำให้ อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) หรือ KOL (Key Opinion Leader) กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการได้ง่ายขึ้น

หลายแบรนด์จึงหันมาทำการตลาดด้วยอินฟลูเอนเซอร์ จนเกิดเป็นกระแสที่แวดวงการตลาดต้องหันมาสนใจ คุณเจ วราพล โล่วรรธนะมาศ นิสิตเก่าจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และทีม มองเห็นโอกาสจากเทรนด์อินฟลูเอนเซอร์ ซึ่งเมื่อผนวกกับจุดแข็งของทีมในด้านเทคโนโลยีแล้ว จึงเกิดเป็น Kollective สตาร์ทอัพมูลค่า 100 ล้านบาท ภายใต้การสนับสนุนของ CU Innovation Hub

“เมื่อทุกแบรนด์เริ่มตื่นตัวและหันมาทำการตลาดอินฟลูเอนเซอร์กันมากขึ้น ก็เกิดคำถามว่าการตลาดอินฟลูเอนเซอร์ยังเวิร์คอยู่หรือไม่ หลายแบรนด์ที่ใช้อินฟลูเอนเซอร์แล้วไม่เวิร์คเป็นเพราะว่าไม่รู้จะทำอย่างไร ติดตามผลไม่ได้ว่าอินฟลูเอนเซอร์แต่ละคนให้ผลลัพธ์อย่างไร และไม่รู้ว่าทำแล้วเกิดยอดขายขึ้นมาจริงหรือเปล่า” คุณเจ วราพล ชี้โจทย์สำคัญในวงการตลาดอินฟลูเอนเซอร์ ซึ่งกลายมาเป็นไอเดียธุรกิจ KollectiveInfluencer Marketing optimizer หรือผู้ช่วยด้านเทคโนโลยีทางการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์ โดยใช้เทคโนโลยี และ Big data มาทำการตลาดที่เฉพาะเจาะจงกลุ่มเป้าหมาย และสามารถติดตามผลลัพธ์อย่างเป็นระบบ

การตลาดอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer Marketing) คืออะไร

ก่อนหน้านี้ การทำการตลาดมักใช้การสื่อสารแบบออฟไลน์ อย่างเช่น การโฆษณาทางโทรทัศน์ ป้ายโฆษณา หรือทำการตลาด ณ จุดขาย เป็นต้น ต่อมาในยุคที่ผู้คนเริ่มใช้สื่อออนไลน์ ประกอบกับสถานการณ์โรคโควิด-19 ที่ช่วยเร่งให้ผู้คนเข้ามาอยู่ในโลกออนไลน์มากขึ้นเป็นเท่าตัว การตลาดก็ขยับเข้าสู่พื้นที่ออนไลน์ เช่น โฆษณาผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย หรือการทำ SEO (Search Engine Optimization) เป็นต้น เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้ติดตามผลการตลาดได้ง่ายขึ้น และยังสามารถเลือกได้ว่าจะส่งโฆษณาไปให้ผู้บริโภคกลุ่มใด

อย่างไรก็ตาม การตลาดออฟไลน์หรือออนไลน์ที่กล่าวมานั้นยังเป็นเรื่องการสื่อสารทางตรงของแบรนด์ (direct communication)

“เมื่อคนเห็นโฆษณาจากแบรนด์บ่อยๆ ก็เริ่มเบื่อ และไม่เชื่อในสิ่งที่แบรนด์สื่อสาร เหมือนเป็นการสื่อสารทางเดียว ไม่ได้เกิดการมีส่วนร่วม (engagement) ในโลกออนไลน์ ดังนั้น การตลาดอินฟลูเอนเซอร์  จึงเกิดขึ้น”

คุณวราพล อธิบายการตลาดอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer Marketing) ว่าเป็นการสื่อสารทางอ้อม (indirect communication) ที่แบรนด์ต้องการให้ผู้บริโภคสื่อสารกันเองถึงสินค้าและบริการที่ได้ลองใช้ เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วม การบอกต่อ (words of mouth) และทำให้แบรนด์มีตัวตนบนโลกออนไลน์นั่นเอง

ทำไมแบรนด์ต้องใช้ อินฟลูเอนเซอร์”

คุณวราพล กล่าวถึงข้อดีของการใช้อินฟลูเอนเซอร์ในการทำการตลาด ซึ่งทุกแบรนด์ควรให้ความสำคัญ ดังนี้

  1. 1. ลูกค้าจะเปิดใจรับฟังแบรนด์มากขึ้น

การที่แบรนด์สื่อสารเพียงฝ่ายเดียวก็เหมือนกับการที่เราพูดแล้วไม่มีใครฟัง แต่การที่แบรนด์ใช้อินฟลูเอนเซอร์มาช่วยพูดแทน ก็เหมือนกับการที่เราให้ลูกค้าสื่อสารกันเองถึงสินค้าหรือบริการของแบรนด์เรา เป็นการบอกต่อ (words of mouth) ถึงความพึงพอใจในสินค้าและบริการ ซึ่งจะดูมีความจริงใจมากกว่า ใกล้ชิดกับชีวิตของลูกค้ามากกว่า เมื่อลูกค้าเชื่อถือในตัวอินฟลูเอนเซอร์อยู่แล้ว เขาก็มีแนวโน้มที่จะเปิดใจรับฟังสิ่งที่แบรนด์อยากจะสื่อสารมากยิ่งขึ้นไปด้วย

  1. 2. ช่วยสร้างภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์

นอกจากช่วยรีวิวสินค้าแล้ว อินฟลูเอนเซอร์ยังเปรียบเสมือนตัวแทนของแบรนด์อีกด้วย ดังนั้นหากเราอยากให้ลูกค้ามองแบรนด์เราเป็นแบบไหน การเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่สอดคล้องกับตำแหน่งของแบรนด์ ก็จะช่วยในเรื่องการสร้างแบรนด์ได้อีกด้วย

  1. 3. ช่วยสร้างตัวตนในโลกออนไลน์ให้กับแบรนด์

ปัจจุบันลูกค้ามักจะค้นหารีวิวสินค้าจากอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นทาง Google, YouTube หรือ Pantip ถ้าหากลูกค้าไม่พบแบรนด์เราอยู่ในนั้น ก็เท่ากับว่าเราไม่มีอยู่

“ในยุคที่ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากมาย การที่แบรนด์ไม่มีตัวตนบนโลกออนไลน์เลย จะทำให้แบรนด์แทบไม่ได้เป็น “แม้แต่หนึ่งในตัวเลือก” ที่เขาจะเปรียบเทียบเลยด้วยซ้ำ” คุณวราพล กล่าว

Kollective” และ 3 บริการสุดปัง!

อย่างไรก็ดี การทำการตลาดอินฟลูเอนเซอร์ไม่ใช่แค่การจ้างเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ให้มาช่วยรีวิวสินค้าและบริการเท่านั้น แต่สิ่งสำคัญก็คือกลยุทธ์ที่เหมาะสมและการติดตามผลได้ เพื่อที่จะช่วยให้การใช้อินฟลูเอนเซอร์เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจได้จริง

“นี่คือสิ่งที่เราตั้งใจจะนำเสนอ Kollective เป็น Influencer Marketing optimizer หรือผู้ช่วยด้านเทคโนโลยีทางการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์ โดยใช้เทคโนโลยี และ Big data มาทำการตลาดที่เฉพาะเจาะจงกลุ่มเป้าหมาย และสามารถติดตามผลลัพธ์ได้อย่างเป็นระบบ เพื่อให้แบรนด์สามารถปิดการขายได้มากที่สุด” คุณวราพล กล่าวเน้น พร้อมเผยจุดแข็งด้านการบริการของ Kollective ที่จะช่วยให้แบรนด์บรรลุวัตถุประสงค์ทางการตลาด ได้แก่

  • ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดอินฟลูเอนเซอร์ ที่มากประสบการณ์ในการทำแคมเปญอินฟลูเอนเซอร์ระดับประเทศ
  • เทคโนโลยีในการเลือกอินฟลูเอนเซอร์ และติดตามผลลัพธ์อย่างเป็นระบบ
  • เครือข่ายอินฟลูเอนเซอร์ที่มีอยู่กว่า 30,000 คน ทั่วประเทศ

สำหรับการบริการ Kollective มีบริการ 3 ด้านที่แบรนด์สามารถเลือกได้ตามความต้องการ

  1. Kolor บริการทำการตลาดที่จะช่วยเพิ่มสีสันให้กับแบรนด์ด้วยอินฟลูเอนเซอร์ คอนเทนต์ต่างๆ และการสื่อสารที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย ที่ผ่านการวิเคราะห์เชิงลึกตั้งแต่การวิจัยการตลาด (Marketing research) ไปจนถึงหาความต้องการที่แท้จริงของกลุ่มเป้าหมาย (Target insight)
  2. Kolify บริการแพลตฟอร์มที่จะช่วยให้แบรนด์สามารถค้นหาอินฟลูเอนเซอร์ที่สร้างผลลัพธ์ได้ดีที่สุดด้วยข้อมูลเชิงลึก พร้อมประเมินผลล่วงหน้า ติดตามผลได้รายคน และยังสามารถจัดการแคมเปญผ่านแพลตฟอร์มได้อย่างง่ายดาย
  3. Kommerce บริการช่วยค้นหาอินฟลูเอนเซอร์ที่ใช่สำหรับสินค้าที่แบรนด์เน้นการขายโดยเฉพาะ ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นช่องทางในการขายอีกช่องทางให้กับแบรนด์ และสร้างยอดขายผ่านเครือข่ายอินฟลูเอนเซอร์ที่มีอยู่ทั่วประเทศ

“เราจะปฏิวัติการทำการตลาดแบบเดิมๆ ไม่ว่าจะเป็น แนวคิดในด้านการทำการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์ที่เน้นยอดขายมากขึ้น ทำการสื่อสารที่ตรงกลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุด” คุณวราพล กล่าวสรุป

CU Innovation Hub ช่วยเหลือสตาร์ทอัพอย่างไร

Kollective เติบโตอย่างรวดเร็วภายใต้การสนับสนุนจากศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือ CU Innovation Hub

“เราอยู่กับ CU Innovation Hub ตั้งแต่ต้น ช่วยเราค้นหาไอเดีย ให้คำปรึกษา สนับสนุนสถานที่ จนเราสามารถออกไปทดลองตลาดได้เร็วมาก”

ปฏิเสธไม่ได้ว่าคอนเนคชันนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการทำธุรกิจ โดยเฉพาะสตาร์ทอัพที่ต้องการผู้ลงทุนที่จะมาช่วยในการดำเนินกิจการ ซึ่ง CU Innovation Hub ถือเป็นศูนย์ที่รวบรวมคอนเนคชัน ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่ที่มีประสบการณ์ในการทำสตาร์ทอัพ แหล่งทุนจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชนต่างๆ

“ด้วยคอนเนคชันและแหล่งเงินทุนที่สนับสนุนให้อยู่ตลอด บริษัทจึงสามารถ scale up ธุรกิจขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว” คุณวราพล กล่าวทิ้งท้าย

สนใจสื่อสารและสร้างแบรนด์กับ Kollective สามารถติดตามรายละเอียดได้ทางเว็บไซต์ https://kollective.one/

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *