6 ตำนาน เรื่องเล่ากุ๋ก กุ๋กกู๋ สุดดัง ในรั้วมหาวิทยาลัย

เมื่อน้อง ๆ เข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยอย่างเต็มตัว ได้เรียนในคณะที่ใฝ่ฝัน แถมสภาพแวดล้อมในรั้วมหาลัยก็ดี ตึกสวย บรรยากาศร่มรื่น น่าเรียนสุด ๆ แต่ใครจะรู้ว่าสภาพแวดล้อมสวย ๆ ตอนกลางวันแบบนั้น ในตอนกลางคืนจะน่ากลัวขนาดไหน แถมอาจจะมีเรื่องเล่าสุดหลอนที่เล่าต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ที่พูดขึ้นมาแล้วเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันที ฮึ้ย.. พูดแล้วก็ขนหัวลุก จะมีเรื่องอะไรบ้าง ตามมาดูกันเลย

  1. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ : ลิฟท์แดง

 

เรื่องลิฟท์แดง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขาเล่ากันว่า เมื่อตอนเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ พวกทหารได้บุกเข้ามาใน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พวกนักศึกษาต่างหลบหนีเข้ามาในลิฟท์ตัวหนึ่ง พอลิฟท์ตัวนี้เปิดพวกทหารก็กระหน่ำยิงทุกคนเสียชีวิตหมด เลือดสาดกระจายทั่วลิฟท์ ต่อมาทางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้บูรณะทำความสะอาดกันทุกพื้นที่ไม่เว้นแม้แต่ลิฟท์ตัวนั้น แต่ทำความสะอาดยังไงคราบเลือดที่เปรอะเปื้อนอยู่ก็ไม่ล้างไม่ออก จึงได้ทำการทาสีลิฟท์ให้เป็นสีแดง

 

ต่อมามีเรื่องเล่าต่อ ๆ กันว่า หลังจากที่ลิฟท์ได้นำกลับมาใช้ตามปกติ มีนักศึกษาหญิงคนหนึ่งมาขึ้นลิฟท์ตามลำพัง แต่เมื่อมองไปที่กระจก กลับพบว่าไม่ได้มีเธออยู่เพียงลำพัง หากแต่มีผู้โดยสารอยู่ด้วยมากมาย นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายครั้งหลายหนที่เหล่านักศึกษา อาจารย์ หรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ต่างๆ ได้พบเจอกับอาถรรพ์ลิฟท์แดงตัวนี้เข้า ทำให้ทาง มหาวิทยาลัยต้องเปลี่ยนตัวลิฟท์ใหม่ แต่ว่าประตูลิฟท์แดงที่ถูกถอดออกไปตอนนี้นี้ยังตั้งอยู่ที่ ชั้น 4 ตึกคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มาจนถึงทุกวันนี้

 

  1. สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง : ศาลในห้องน้ำหญิง

เรื่องเล่าของศาลเพียงตาที่ติดอยู่บนผนังของห้องน้ำ ศาลที่ว่านี้เดิมตั้งไว้ที่คณะวิศวะฯ ตึกเอ ที่ชั้น 5 โดยจะมีดอกไม้ธูปเทียนและน้ำแดงวางไว้อยู่เสมอ มีเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมาว่ามีนักศึกษาสาว คณะสภาปัตย์ อกหักจากหนุ่มวิศวะฯ จึงไปผูกคอตายที่ห้องน้ำดังกล่าวนี้ และเพื่อให้วิญญาณของเธอสงบจึงมีการสร้างศาลเพียงตาเอาไว้ แต่หลังจากนั้นมาก็มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นหลายเรื่องด้วยกัน เรื่องเล่าของศาลในห้องน้ำก็มีหลายเรื่องที่ดังๆ ก็มี บริเวณที่ชั้น 5 มักจะได้ยินเสียงแปลกๆ หรือเห็นเงาคนเดินอยู่ แต่พอดูจริงๆ ก็ไม่มีใครเลย หรือมีคนเห็นนางรำ รำออกมาจากในศาล หรือมีคนเคยเล่าว่าหากใครไปเข้าห้องน้ำตอนดึกๆ จะเหมือนมีคนเข้าห้องน้ำห้องข้างๆ ด้วย หรือไม่ก็ถ้าไปส่องกระจกในห้องน้ำห้องนี้ก็จะเห็นผู้หญิงคนที่ผูกคอตาย อยู่ด้านหลัง แต่ตอนนี้ศาลดังกล่าวได้ย้ายลงมาอยู่ด้านหลังคณะวิศวะฯ ตึกเอ แล้ว เป็นศาลใหญ่โต ชื่อศาลว่า “ศาลเจ้าแม่ศรีแพรทอง

 

  1. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตำนานเสียง : ป๊อก…ป๊อก…ครืด…

เรื่องผีอันดับหนึ่งของ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ในสมัยหนึ่งใครหยิบหนังสือ I like ขึ้นมาอ่านต้องได้เจอเรื่องนี้แน่นอน โดยระยะเวลาที่เกิดเหตุการณ์ไม่ทราบแน่ชัด แต่สถานที่เกิดคือ หอหญิง ในสมัยที่ยังเป็นที่รกร้างอยู่มาก ถนนยังเป็นลูกรัง เรื่องเกิดกับนักศึกษาสาวคู่หนึ่ง อาศัยอยู่ที่ประมาณ ชั้น 2 หรือ 3 ของ หอหญิงตึกเจ็ด ช่วงนั้นเป็นช่วงสอบ นักศึกษาต่างกำลังอ่านหนังสือกัน มีนักศึกษาหญิงคนหนึ่งไม่สบาย อ่านหนังสือในห้องตอนหัวค่ำ รูมเมทชวนไปทานข้าวแต่เพราะเป็นไข้อยู่จึงไปไม่ไหว พอรูมเมทคนนั้นเห็นเพื่อนไม่สบายด้วยความเป็นห่วงจึงบอกว่าเดี๋ยวไปทานข้าวเองแล้วจะห่อมาฝาก เพื่อนคนที่ไม่สบายก็ฝากซื้อราดหน้า (หรืออะไรซักอย่าง)

 

หลังจากที่เพื่อนออกไป รูมเมทคนที่ไม่สบายก็นั่งอ่านหนังสือต่อ อ่านได้ซักพักก็ไม่ไหวเพราะไข้ขึ้นจึงนอน ตอนนอนอยู่นั้นรู้สึกเหมือนกึ่งหลับ กึ่งตื่น แต่มีความรู้สึกว่านานมากแล้วทำไมเพื่อนยังไม่กลับมาซะที ซักพักได้ยินเสียงเบาๆ ดังจากชั้นล่างจากทางบันได ป๊อก ป๊อก ป๊อก เสียงนั้นดังเป็นระยะๆ ใกล้เข้ามาจากทางบันไดเรื่อยๆ เสียงเหมือนคนกำลังแบกของหนักบางอย่างขึ้นมา และเสียงนั้นก็ดังมาจนถึงชั้นที่ห้องนักศึกษาหญิงคนนั้นอยู่ แล้วเสียงก็เปลี่ยนเป็น ครืด ครืด เสียงเหมือนคนกำลังลากอะไรซักอย่างใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้อง นักศึกษาหญิงเริ่มเอะใจและมองไปทางประตู ในใจนึกว่าเพื่อนกลับมาแล้วแต่ยังเงียบ อึดใจนึงก็มีเสียงเคาะห้อง ก๊อก ก๊อก ก๊อก แล้วเงียบไป นักศึกษาสะดุ้งสุดตัว คิดว่าไม่ใช่เพื่อนแน่แล้ว ถ้างั้นทำไมไม่เปิดเข้ามาเลย จึงเดินไปเปิดประตู ตรงลูกบิดประตูมีถุงใส่ห่อราดหน้าแขวนอยู่ พอเห็นห่อลาดหน้าก็งง ว่าเพื่อนอยู่ไหนทำไมต้องเอามาแขวน ทำไมมีแต่รอยเปียกน้ำเป็นทางจากบันได

 

รุ่งเช้ามีคนมาเคาะห้องบอกว่าเพื่อนตายแล้ว นักศึกษาหญิงคนนั้นถูกฆ่าข่มขืนตรงพงหญ้าข้างทาง คาดว่าเหตุเกิดประมาณหัวค่ำ ลักษณะศพสภาพแขนและขาทั้งสองข้างหัก อาจเกิดจากการที่คนร้ายเอาท่อนไม้ทุบตีเพื่อไม่ให้หนี นักศึกษาหญิงที่ตายกำลังเดินทางกลับจากตลาดหลังจากทานข้าวเสร็จ ลักษณะเสียงที่ได้ยิน สันนิษฐานได้ว่าเพื่อนคนนั้นใช้ปากคาบถุง แล้วใช้คางเกยพาตัวเองมาจนถึงหอพักแล้วใช้คางเกยบันได ลากตัวเองขึ้นมาเป็นเสียง ป๊อก ป๊อก เสียง ครืด คือเสียงลากตัวเองจากบันไดมาจนถึงหน้าห้องปรากฎเป็นรอยเปียกน้ำยาวติดต่อกันหลังจากส่งห่อลาดหน้าให้ได้แล้วก็หมดห่วง ตอนแรกทุกคนไม่เชื่อที่นักศึกษาคนนั้นเล่า แต่หลังจากที่นักศึกษาที่พักอยู่ข้างๆ ห้องยืนยันว่า ในคืนนั้นก็ได้ยินเสียงดังกล่าวเช่นกัน

 

  1. มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ : เรือนนางสนม

เชื่อกันว่ามหาวิทยาลัยใดที่มีที่ตั้งอยู่ในอาณาบริเวณเขตวังเก่า หรือเคยเป็นวังมาก่อน ก็จะมีเรื่องราวกล่าวขานมานาน และยิ่งทวีความหลอนเข้าไปอีก เพราะแสดงให้เห็นถึงความเก่าแก่และความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่แห่งนั้น รวมถึงมหาวิทยาลัยศิลปากร เขตพระราชวังสนามจันทร์ ซึ่งตั้งอยู่บนเนื้อที่เดิมของอาณาบริเวณเขตพระราชฐานพระราชวังสนามจันทร์ เป็นพระราชวังฤดูร้อนในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 และยังเป็นอีกสถานที่ ที่ได้ขึ้นชื่อว่าผีดุเป็นอันดับต้นๆ ของเมืองไทย

 

เด็กศิลปากร คงรู้ความเป็นมาของเรื่องเล่านี้ดี เพราะไม่ว่ารุ่นไหนก็ไม่พลาดที่จะเล่าให้รุ่นน้องฟังแน่ๆ สำหรับเรื่องเล่า “เรือนนางสนม” ซึ่งอยู่ด้านหลังคณะวิทยาศาสตร์ เป็นเรือนไม้สถาปัตยกรรมยุคเก่า ยกใต้ถุนขึ้นสูงมีอายุเก่าแก่มาก น่าจะมีความเก่าแก่ในช่วงสมัย ร.5 และมีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาเยอะมากว่า กลางดึกหากนักศึกษาคนไหนปั่นจักรยานผ่านเรือนไม้ดังกล่าวก็จะเห็นผู้หญิงแต่งชุดไทยมีเล็บยาวปรากฏตัวให้เห็น บ้างก็เล่าว่าปั่นๆ จักรยานไปจะรู้สึกว่ารถหนักขึ้น หันหลังไปจะเห็นมีผู้หญิงชุดไทยไม่มีหน้านั่งซ้อนหลังอยู่ แถมไม่นั่งอย่างเดียว เอาเล็บยาวเฟื้อยลากพื้นไปด้วยอีกต่างหาก และเหตุผลที่เรือนนางสนมหลังนี้ปัจจุบันต้องปิดหน้าต่างไปในที่สุดก็เพราะว่า คนที่ผ่านไปผ่านมามักจะเห็นผู้หญิงรำฟ้อนอยู่ในตัวเรือนไทยผ่านช่องหน้าต่างไม้ของเรือนหลังนั้นนั่นเอง

 

 

  1.  มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา : ครูฮอน

มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาอยู่มานานหลายสิบปี เรื่องความเฮี้ยนไม่ต้องพูดถึง เพราะก่อนจะก่อตั้งเป็นมหาวิทยาลัยนั้น เดิมเคยเป็นวังเก่าของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี ซึ่งเป็นพระอัครมเหสีพระองค์แรกของรัชกาลที่ 5 เด็กนักศึกษาที่นี่ส่วนมากจึงเรียกตัวเองว่า “ลูกพระนาง” และด้วยความเป็นสถานที่เก่าแก่ มีระยะเวลาเนิ่นนาน จึงไม่น่าแปลก ถ้าจะมีเรื่องราวชวนให้นึกคิดเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็นอยู่เสมอ

 

แม้กระทั่งชั้น 4 ตึกศิลปกรรม เป็นชั้นของศิลปะการแสดง ประกอบไปด้วยนาฏศิลป์ไทยกับการละครไทย เขาว่ากันว่า “ครูฮอน” คือศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยแห่งนี้ เรียนเอกนาฎศิลป์ ด้วยความรักและผูกพัน ครูฮอนจึงกลับมาเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาอีกครั้ง และได้เสียชีวิตไปด้วยโรคปอดติดเชื้อ จึงมีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า เมื่อราวๆ 4 ทุ่ม มียามสองคนได้ขึ้นลิฟต์มาชั้น 4 เพื่อตรวจดูความเรียบร้อยและไล่เด็กนักศึกษากลับบ้าน เมื่อมาถึงชั้น 4 ลิฟต์ก็เปิดออก ยามทั้งสองคนก็เห็นเงาคนลางๆยืนอยู่ที่สุดฝั่งทางเดินอีกฝั่ง พี่ยามก็ตะโกนบอก “ทำไมยังไม่กลับบ้าน ตึกปิดแล้วครับ” คนที่ยืนอีกฝั่งก็ไม่ตอบอะไร ยามทั้งสองคนจึงโมโหเลยเดินเข้าไปหา พอใกล้จะถึงก็ส่องไฟฉายเข้าใส่ พบเป็นผู้ชายยืนอยู่ปกติ ภาพที่เห็นดูจะไม่ผิดแปลกอะไร ไม่มีเลือด ไม่มีอะไร แต่เขาก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าชายคนนั้นไม่มีท่อนล่าง ตั้งแต่เอวลงไปไม่มีอะไรเลย และที่ยิ่งน่าสะพรึงเข้าไปอีกคือ ชายคนนั้นจู่ๆ ก็ฟ้อนรำ ทำเอาคนที่พบเห็นตกใจแทบจะหนีไม่ทัน ซึ่งวิญญาณชายฟ้อนรำที่เห็น คาดกันว่าน่าจะเป็นครูฮอนที่กลับมาเยี่ยมเยียนมหาวิทยาลัยของตนนั้นเอง

 

  1. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ : ขบวนแห่ไร้หัว

เรื่องเล่าสุดหลอนที่นักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ต่างรู้กันดี เล่ากันว่าเมื่อถึงวันเข้าพรรษาเมื่อไหร่ แล้วยังอยู่ที่หอ ไม่ได้กลับบ้าน แล้วได้ยินเสียงแห่ หรือเสียงเคาะ กังสะดาล ห้ามเปิดหน้าต่างหรือออกจากห้องมาดูขบวนแห่ หรือมาตามหาที่มาของเสียงโดยเด็ดขาด มีรุ่นพี่เล่าต่อ ๆ กันมาว่า มีเด็กปี 1 เข้ามาใหม่ต้องอยู่หอในด้วยกัน ในห้องนั้นมีเด็กจากเชียงใหม่ 2 คน แล้วก็เด็กจากกรุงเทพ 1 คน พอช่วงใกล้เข้าพรรษา เด็กจากเชียงใหม่ก็ขอกลับบ้านไปนอนที่บ้านตัวเองเพราะกลัวเรื่องขบวนแห่ไร้หัว เด็กเชียงใหม่ 2 คนชวนเพื่อนจากกรุงเทพไปนอนที่บ้านตัวเองด้วยแต่เด็กจากกรุงเทพไม่ไป เพราะเขาไม่เชื่อเรื่องขบวนแห่ไร้หัว เขาจะนอนที่หอใน แล้วคืนนั้นเด็กจากเชียงใหม่คนที่ 1 ก็ได้รับสายจากเด็กกรุงเทพ เสียงของเด็กกรุงเทพฟังดูตกใจแล้วก็กลัวมาก เด็กเชียงใหม่เลยถามว่าเป็นอะไร เด็กกรุงเทพเลยเล่าให้ฟังว่า เขานั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องปกติ แล้วด้วยความที่ทั้งหอแทบจะไม่มีใครอยู่มันเลยเงียบ เขาได้ยินเสียงโซ่ลากไปกับพื้น ตอนแรกคิดว่าหูแว่ว แต่พอลองฟังดีๆก็ได้ยินเสียงโซ่เสียงตรวนลากไปกับพื้น แล้วเสียงก็ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ด้วยความสงสัยบวกกับเป็นคนไม่กลัวแล้วก็ไม่เชื่อเรื่องผี เด็กกรุงเทพเลยเปิดประตูไปดูก็ไม่เจออะไร ตอนจะปิดประตูกลับเข้ามา ก็ได้ยินเสียงดนตรี เสียงกลอง เหมือนกำลังแห่อะไรอยู่ เขาเลยไปชะโงกดูตรงระเบียง ก็เลยเห็นเป็นขบวนแห่ แบกผู้หญิงใส่ชุดโบราณกำลังจะเดินผ่าน แล้วทั้งผู้หญิงบนเสลี่ยง แล้วก็คนในขบวน ทุกคนไม่มีหัว เขาถึงกับช็อคกับภาพที่เห็น เลยรีบวิ่งไปหลบในห้องน้ำแล้วโทรมาหาเด็กเชียงใหม่ บอกว่าขอออกไปนอนด้วยเพราะตอนนี้เขากลัวมากไม่ไหวแล้ว ภาพที่เห็นน่ากลัวมากๆ แล้วอยู่ๆ เด็กเชียงใหม่ก็ได้ยินเสียงกรี๊ดของเด็กกรุงเทพดังเข้ามาในสาย แล้วก็ได้ยินเด็กกรุงเทพบอกว่ากลัวแล้วๆ พอเด็กเชียงใหม่ถามว่าอะไร เด็กกรุงเทพก็พูดแค่ว่า “เขาเจอกูแล้ว ทหารโบราณที่ใส่โซ่ตรวน เขาเจอกูแล้ว” เขาบอกว่าจะเอากูไปอยู่ในขบวนด้วย พูดแบบนี้ซ้ำๆแล้วสายก็ตัดไป พอโทรกลับไปก็ไม่ติด เด็กเชียงใหม่คนที่ 1 เลยโทรไปเล่าให้คนที่ 2 ฟัง แต่ทั้งคู่ก็กลับเข้าม.ไม่ได้เพราะมันดึกมากๆแล้ว ต้องรอเช้า พอตอนเช้ากลับไปที่หอปรากฎว่า เมทที่มาจากกรุงเทพคนนั้นตกระเบียงลงมาคอหักตาย คอหักแบบหมุนได้รอบองศา เขาเลยว่ากันว่าตอนนี้เด็กที่มาจากกรุงเทพคนนั้นเข้าไปอยู่เป็นหนึ่งในขบวนแห่ไร้หัวแล้วเรียบร้อย

 

นอกจากนี้ยังมีอีกเรื่องเล่าหนึ่ง มีเด็กคนหนึ่งที่อยู่ในหอใน ได้ยินเสียงเคาะกังสะดาล ดังขึ้นในเวลากลางคืน แล้วได้ไปพบเห็นขบวนแห่ไร้หัวของเจ้านางเข้าให้ และเผลอไปสบตามกับเจ้านางคนนั้น จนสุดท้ายเขาได้หายตัวไปอย่างปริศนา แต่เรื่องแปลกก่อนที่เขาจะได้หายไปนั้น เขาได้วาดรูปของขบวนแห่ทิ้งเอาไว้ ซึ่งภาพที่เขาวาดนั้น มันแปลกตรงที่ในท้ายขบวนแห่นั้นมีคนแต่งตัวแปลกกว่าทุกคนในขวน ถ้าสังเกตดูดี ๆ แล้วนั้น คนที่แต่งตัวแปลก ๆ เขาใส่ชุดนักศึกษา และที่สำคัญภาพวาดชายนักศึกษานั้น ไม่มีหัวเช่นเดียวกันกับคนอื่น ๆ ในขบวน

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : www.applicadthai.com

ขอบคุณข้อมูลจากช่อง youtube : nuenglc

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *